เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2558 ณ.โรงแรม เอเซีย กรุงเทพฯ สมาคมธุรกิจก๊าซรถยนต์ไทย โดยนายสุรศักดิ์ นิตติวัฒน์ นายกสมาคมฯ และตัวแทนจากแต่ละภาคส่วน ได้จัดให้มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชวน ถึงผลกระทบที่ได้รับตลอดเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่มีข่าวเรื่องขึ้นภาษีสรรพสามิต LPG ตามถ้อยแถลงของกระทรวงพลังงาน โดยร่วมแถลงถึงผลกระทบ และได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก ขอแสดงจุดยืนคัดค้าน และไม่เห็นด้วยหากรัฐเจาะจงขึ้นภาษี LPG รถยนต์ อย่างไม่เป็นธรรม และแนวคิดจะยกเลิกการใช้ LPG ภาคขนส่ง ซึ่งการแถลงข่าวนี้ประกอบไปด้วยหลายภาคส่วน อาทิเช่น เครือข่ายภาคประชาชนผู้ใช้ LPG รถยนต์, กลุ่มผู้ประกอบการปั๊มแก๊ส LPG, กลุ่มผู้ค้ามาตรา 7, กลุ่มผู้ประกอบการจำหน่าย, ศูนย์ติดตั้งแก๊ส รวมทั้งโรงงานผลิตถังแก๊สและอุปกรณ์ เข้าร่วมในครั้งนี้
คุณรุ่งชัย จันทร์สิงห์ เครือข่ายภาคประชาชนผู้ใช้ LPG , คุณจรัญ สู้แค่ชีพ ตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการศูนย์ติดตั้งแกีส . คุณปุณนพจน์ ปาลิอนันต์ศรี ตัวแทนกลุ่มผู้ผลิตถังแก๊ส ,
คุณสุรศักดิ นิติวัตน์ นายกสมาคมฯ , คุณจิรัฏฐ์ พรโยธิคาร์ ตัวแทนกลุ่มผู้ค้ามาตรา 7 , คุณพลพาขุน เศรษฐญาบดี ตัวแทนกลุ่มปั้มแก๊ส
รัฐบาล โดยกระทรวงพลังงานกำลังจะใช้นโยบายไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ไม่โปร่งใส เจาะจงขึ้นภาษี LPG ภาคขนส่งเท่านั้น แต่ไม่ขึ้นภาคปิโตรเคมี ซึ่งภาคขนส่งนั้นผู้ใช้ก็คือประชาชนเปรียบเสมือนภาคครัวเรือนที่ใช้เป็นแก๊สหุงต้ม และถ้าจะอ้างเรื่องต้องขึ้นภาษีเพราะค่าความร้อนนั้น ก็ควรพูดถึงน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ด้วย ซึ่งมีค่าความร้อนใกล้เคียง LPG คือ 8 หมื่นกว่าบีทียู ซึ่งปัจจุบันเก็บภาษีน้ำมัน E85 เพียง 84 สตางค์ต่อลิตร ในขณะที่ LPG เก็บที่ 1.20 บาทต่อลิตร และยิ่งไปกว่านั้น E85 ต้องใช้เงินสูงถึง 7.23 บ.ต่อลิตร จากกองทุนน้ำมันที่มาจากผู้ใช้ LPG จ่ายอยู่ 52 สตางค์/ลิตร ไปใช้เพื่อกดราคา E85 ให้ต่ำลง ซึ่งไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้ LPG และผู้ใช้น้ำมันทุกชนิด หลายล้านคนทั่วประเทศ และยิ่งไปกว่านั้น NGV ก็ไม่เคยเสียภาษีใดๆเลยที่ผ่านมา และไม่เป็นตรรกระกันถ้าจะบอกว่าทำถนนพัง เพราะถัง NGV หนักกว่าถัง LPG ถึง 4 เท่า (ถัง NGV หนัก 90 กิโล แต่ถัง LPG หนักเพียง 20 กว่า กิโลเท่านั้น) และที่สำคัญ รถที่เป็นสาเหตุทำถนนพังคือรถที่บรรทุกเกินน้ำหนัก รัฐควรเข้าไปเข้มงวดกับกลุ่มนี้ รวมถึงควบคุมการก่อสร้างคุณภาพถนนให้ได้มาตรฐาน จึงจะตรงประเด็น
ที่ผ่านมาไม่เคยมีปรากฎบทความหรือนโยบายจากรัฐบาลใดในโลกที่ระบุว่า การใช้ LPG ในรถยนต์คือผิดประเภท อันตราย ไม่ควรส่งเสริม และออกนโยบายกีดกัน เป็นข้อสังเกตุว่าที่ผ่านมายาวนานกระทรวงพลังงานอุ้มกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกำไรมหาศาลการจากเอา LPG ใปใช้ในกลุ่มปิโตรเคมี ทั้งที่ประชาชนไม่ได้รับอานิสงค์นี้แต่อย่างใด กำไรเข้าบริษัท ผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันกลุ่มปิโตรเคมีคือผู้ใช้ LPG มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งคือ 37% อันดับสองคือครัวเรือน 29% และอันดับสามคือรถยนต์ 26% ซึ่งที่ผ่านมา ท่านนายกรัฐมนตรี อาจจะมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน ได้รับข้อมูลที่บิดเบือน ไม่ครบทุกด้าน ซึ่งตามหลักสากลที่เหมาะสมคือ ต้องสงเสริมใช้ NGV กับภาคขนส่งรถขนาดใหญ่ใช้ในเชิงพานิชย์ เช่นรถบรรทุก รถบัส รถเมล์ ที่มีเส้นทางการวิ่งเดิมๆ ไม่ออกนอกเส้นทางมากนัก เพราะจะหาปั๊มเติมยาก ฯลฯ ส่วน LPG เหมาะใช้สำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก ไม่เกิน 7 ที่นั่ง หรือปิ๊กอัพไม่เกิน 1 ตัน ที่ใช้ในกลุ่มผู้ประกอบการ SME หรือครัวเรือนผู้มีรายได้น้อยต้องการประหยัดค่าน้ำมันจากการดำรงชีพ และหาปั๊มเติมได้ง่าย ซึ่งปั๊ม LPG มีกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 2 พันแห่ง และมีโนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจึงควรหันมาสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้พลังงานทางเลือกที่สะอาด สะดวกและเหมาะสมนี้ เฉกเช่น ต่างประเทศส่งเสริมกันมายาวนาน เช่น อังกฤษ อิตาลี เยอรมัน สเปน เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา แคนนาดา ออสเตรเลีย ฮ่องกง ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เป็นต้น ด้วยมาตรการลดภาษีสรรพสามิต ลดค่าจอดรถในเมืองหลวง ทั้งNGV และ LPG อย่างเท่าเทียมกัน เนื่องจากทั้งคู่เป็นพลังงานสะอาด ลดมลพิษได้มากกว่าน้ำมันกว่า20-30% แล้วทำไมคนไทยต้องมาทนสูดดมมลพิษทุกวันๆ
รัฐบาล คสช. เป็นรัฐบาลที่มุ่งรับฟังเสียงประชาชน โดยเฉพาะคนมีรายได้น้อยถึงปานกลาง และเพื่อให้ท่านนายกรัฐมนตรี ได้รับฟังเสียงและข้อคิดเห็นจากประชาชนโดยตรง
ทางสมาคมฯ ได้จัดทำกิจกรรม โหวตออนไลน์ Vote Online 1,000,000 เสียง! ทั่วประเทศ ให้ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ปัญหาความเดือนร้อน ขอความเป็นธรรมในสังคม แสดงจุดยืนคัดค้านและไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว พร้อมเรียกร้องให้รัฐสนับสนุนการใช้ LPG ภาคขนส่ง
ด้วยการลงชื่อโหวตผ่านสื่อออนไลน์ ผ่าน www.tagba-thai.com และสื่อออนไลน์อื่นๆ อาทิเช่น Facebook, Line ให้ประชาชนได้มีสิทธิ มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น โหวตผ่านสื่อฯ ให้ได้มากกว่า 1 ล้านคน จากนั้นรวบรวมรายชื่อทั้งหมดส่ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สนช. กระทรวงพลังงาน และรัฐบาล คสช. พิจารณาในลำดับต่อไป